เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ,เครื่องพิมพ์ใบเสร็จแบบเทอร์มอล,Thermal Printer,Dot Matrix Printer,เครื่องพิมพ์ใบเสร็จแบบความร้อน,เครื่องพิมพ์แบบหัวเข็ม

เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ

Receipt Printer – เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ

เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ มีลักษณะการทำงานเหมือนเครื่องปริ๊นเตอร์ทั่วไปตามบ้าน แต่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับการทำงานกับกระดาษม้วนใบเสร็จโดยเฉพาะ เพื่อใช้ในการพิมพ์ใบเสร็จอย่างย่อหรือสลิป และเพื่อให้มีขนาดที่กระทัดรัดเหมาะสมกับงาน นิยมใช้กันในธุรกิจประเภท ร้านสะดวกซื้อ, เคาน์เตอร์เซอร์วิส, ร้านอาหาร, ร้านขายสินค้าทั่วไปตามห้างสรรพสินค้า, ฯลฯ ที่ต้องการความรวดเร็วในการออกบิลใบเสร็จให้ลูกค้า

.

เครื่องพิมพ์ใบเสร็จสามารถแบ่งตามเทคโนโลยีการทำงานได้ 2 ประเภทด้วยกัน คือ เครื่องพิมพ์ใบเสร็จแบบเทอร์มอล (Thermal Printer) และเครื่องพิมพ์ใบเสร็จแบบหัวเข็ม (Dot Matrix Printer) รายละเอียดความแตกต่างในการทำงานของเครื่องพิมพ์สองประเภทนี้คือ

เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ

  1. เครื่องพิมพ์ใบเสร็จแบบเทอร์มอล (Thermal Printer) ใช้หลักการถ่ายเทความร้อนจากหัวพิมพ์ไปยังกระดาษความร้อน หรือกระดาษเทอร์มอล ซึ่งในตัวกระดาษจะมีเคมีที่จะเกิดสีเมื่อโดนปริมาณความร้อนที่พอเหมาะ ไม่ต้องใช้ตัวกลาง(หมึก)ในการพิมพ์ การพิมพ์ประเภทนี้จะมีความได้เปรียบในเรื่องของความรวดเร็ว ความเงียบ และไม่ต้องคอยกังวลในเรื่องของการเปลี่ยนหมึกเมื่อหมึกหมด แต่ด้วยธรรมชาติของกระดาษเคมีประเภทนี้ ข้อมูลบนเนื้อกระดาษจะเลือนหายไปตามกาลเวลา เช่นเดียวกับใบเสร็จที่เราได้รับจากร้านสะดวกซื้อต่างๆ จึงนิยมใช้ในธุรกิจประเภทที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องเก็บใบเสร็จไว้เป็นหลักฐานในระยะเวลายาวนาน
  1. เครื่องพิมพ์ใบเสร็จแบบหัวเข็ม (Dot Matrix Printer) ใช้ผ้าหมึกเป็นตัวกลางในการพิมพ์ และใช้หัวเข็มในการจุดหมึกลงบนกระดาษเพื่อให้เกิดขึ้นเป็นข้อความหรือรูปภาพ การพิมพ์ประเภทนี้จะมีข้อได้เปรียบในเรื่องของราคากระดาษซึ่งจะมีราคาถูกกว่ากระดาษในแบบเทอร์มอลเนื่องจากใช้กระดาษปอนด์ธรรมดา หรือในกรณีที่ผู้ใช้งานต้องการทำสำเนาของใบเสร็จอย่างย่อทุกใบก็สามารถทำได้ในเครื่องพิมพ์ประเภทนี้โดยเลือกใช้กระดาษใบเสร็จเคมี 2 ชั้น ซึ่งเมื่อหัวเข็มกดลงบนกระดาษ ตัวแผ่นสำเนาก็จะติดข้อความเช่นเดียวกันกับแผ่นต้นฉบับด้านหน้า เหมือนการใช้ปากกากดลงบนกระดาษใบเสร็จที่มีสำเนาในตัว ข้อเสียคือการต้องคอยเปลี่ยนผ้าหมึกเวลาหมึกหมด และเสียงการทำงานไม่เงียบเท่าเครื่องพิมพ์แบบความร้อน

ดังนั้นในการเลือกซื้อเครื่องพิมพ์ใบเสร็จจึงต้องคำนึงถึงกระดาษใบเสร็จที่เราจะใช้งาน และนอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงหน้ากว้างของเครื่องพิมพ์ ว่าจะสามารถรองรับกระดาษขนาดของเราได้หรือไม่ เครื่องพิมพ์ใบเสร็จแบบความร้อนที่ทางเราจัดจำหน่ายจะมีหน้ากว้างของเครื่องพิมพ์อยู่ที่ประมาณ 80-83 มิลลิเมตร (8-8.3 เซนติเมตร) จึงสามารถใส่กระดาษได้ทั้งแบบหน้ากว้าง 80mm หรือ 57mm ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐาน และเครื่องพิมพ์แบบหัวเข็มของเราจะมีหน้ากว้างอยู่ที่ประมาณ 76 มิลลิเมตร (7.6 เซนติเมตร) ซึ่งสามารถใส่กระดาษขนาด 75 มิลลิเมตรซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานได้เช่นเดียวกัน

เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ,เครื่องพิมพ์ใบเสร็จแบบเทอร์มอล,Thermal Printer,Dot Matrix Printer,เครื่องพิมพ์ใบเสร็จแบบความร้อน,เครื่องพิมพ์แบบหัวเข็ม

เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ POS Slip Printer

เครื่องพิมพ์ใบเสร็จความร้อน(Thermal Printer)
เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ POS Slip Printer

เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ POS Slip Printer ลักษณะการทำงานเหมือนเครื่องปริ๊นเตอร์ทั่วไป และนำมาพัฒนาเพื่อใช้สำหรับการทำงานกับกระดาษม้วนใบเสร็จ โดยเฉพาะใช้ในการพิมพ์ใบเสร็จอย่างย่อหรือสลิป  ถูกออกแบบมาให้มีขนาดที่กระทัดรัด ติดตั้งได้ง่าย สะดวกต่อการใช้งานและการ บำรุงรักษานิยมใช้ในธุรกิจประเภทร้านสะดวกซื้อ, เคาน์เตอร์เซอร์วิส, ร้านอาหาร, ร้านขายสินค้าทั่วไปตามห้างสรรพสินค้า, ฯลฯ ที่ต้องการความรวดเร็วในการออกบิลใบเสร็จให้ลูกค้า

เครื่องพิมพ์ใบเสร็จสามารถแบ่งตามการทำงานได้ 2 ประเภท คือ เครื่องพิมพ์ใบเสร็จแบบเทอร์มอล (Thermal Printer) และเครื่องพิมพ์ใบเสร็จแบบหัวเข็ม (Dot Matrix Printer) รายละเอียดในการทำงานของเครื่องพิมพ์สองประเภทนี้คือ

  1. เครื่องพิมพ์ใบเสร็จแบบเทอร์มอล (Thermal Printer) ใช้หลักการถ่ายเทความร้อนจากหัวพิมพ์ไปยังกระดาษความร้อน หรือกระดาษเทอร์มอล ซึ่งในตัวกระดาษจะมีเคมีที่จะเกิดสีเมื่อโดนปริมาณความร้อนที่พอเหมาะ ไม่ต้องใช้หมึกในการพิมพ์ การพิมพ์ประเภทนี้จะมีความได้เปรียบในเรื่องของความรวดเร็ว ความเงียบ และไม่ต้องคอยกังวลในเรื่องของการเปลี่ยนหมึกเมื่อหมึกหมด แต่ด้วยเป็นกระดาษเคมี ข้อมูลบนเนื้อกระดาษจะเลือนหายไปตามกาลเวลา เช่นเดียวกับใบเสร็จที่เราเคยได้รับจากร้านค้าต่าง ๆ จึงนิยมใช้ในธุรกิจประเภทที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องเก็บใบเสร็จไว้เป็นหลักฐานในระยะเวลายาวนาน

ขนาดของเครื่องพิมพ์ใบเสร็จ เครื่องพิมพ์ใบเสร็จความร้อนจะมี 2 ขนาด คือ ขนาด 80 มม. และ 58 มม. ซึ่งเป็นขนาดมารตฐาน โดยการเลือกเครื่องพิมพ์จะต้องคำนึงถึงกระดาษความร้อนที่เราต้องการใช้งาน แต่เครื่อง พิมพ์บางรุ่นจะมีที่กั้นกระดาษ เพื่อใช้สำหรับใส่กระดาษได้ทั้งขนาด 80มม. และ 58 มม.

การดูแลรักษาเครื่องพิมพ์ความร้อน

  1. ปิดเครื่องด้วยสวิซ์ของปริ้นเตอร์ก่อนถอดปลั๊ก
  2. ทำความสะอาดเครื่องเพื่อป้องกันฝุ่นละอองต่างๆ
  3. ไม่ควรพิมพ์นานมากเกินไปเครื่องอาจหยุดพิมพ์ได้
  4. นำมาใช้งานอย่างสม่ำเสมอ
  5. ใช้ผ้าคลุมหลังเลิกใช้งาน

 

  1. เครื่องพิมพ์ใบเสร็จแบบหัวเข็ม (Dot Matrix Printer) ใช้หัวเข็มในการจุดหมึกลงบนกระดาษ ใช้ผ้าหมึกในการพิมพ์ เพื่อให้เกิดขึ้นเป็นข้อความหรือรูปภาพเพราะฉะนั้นใบเสร็จที่ถูกพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์แบบหัวเข็มจะสามารถเก็บไว้ได้นาน เครื่องพิมพ์ประเภทนี้กระดาษปอนด์หรือกระดาษใบเสร็จ 2 ชั้น(จะมีสำเนาใบเสร็จ) ซึ่งจะมีราคาถูกกว่ากระดาษในแบบเทอร์มอล ข้อเสียคือการต้องคอยเปลี่ยนผ้าหมึกเวลาหมึกหมด เสียงการทำงานไม่เงียบเท่าเครื่องพิมพ์แบบความร้อน และพิมพ์ช้ากว่าแครื่องพิมพ์แบบความร้อน

ขนาดของเเครื่องพิมพ์ใบเสร็จแบบหัวเข็ม เครื่องพิมพ์แบบหัวเข็มจะมีหน้ากว้างอยู่ที่ประมาณ 76 มม. ซึ่งสามารถใส่กระดาษขนาด 75มม.ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐาน

การดูแลรักษาเครื่องพิมพ์

  1. ปิดเครื่องด้วยสวิซ์ของปริ้นเตอร์ก่อนถอดปลั๊ก
  2. ทำความสะอาดเครื่องเพื่อป้องกันฝุ่นละอองต่างๆ
  3. ควรตรวจสอบหมึกอย่างสม่ำเสมอ
  4. ควรเลือกกระดาษให้เหมาะสมกับเครื่องพิมพ์
  5. ใช้ผ้าคลุมหลังเลิกใช้งาน
เครื่องพิมพ์บาร์โค้ด,โปรแกรมPOS,เครื่องสแกนบาร์โค้ด,เครื่องอ่านบาร์โค้ด,โปรแกรมพิมพ์บาร์โค้ด

เครื่องพิมพ์บาร์โค้ด คืออะไร

Barcode Printer หรือ Printer Barcode (ภาษาไทย : เครื่องพิมพ์ บาร์โค้ด) คืออะไร โดยส่วนใหญ่หน่วยงานต่างๆ จะใช้เครื่องพิมพ์บาร์โค้ดเพื่อพิมพ์บาร์โค้ดใส่สติ๊กเกอร์เพื่อทำรหัส เพื่อความสะดวกต่อการเก็บข้อมูล Barcode Printer เครื่องพิมพ์บาร์โค้ด (หรือ Barcode Printer เครื่องพิมพ์บาร์โค้ด) เป็นอุปกรณ์ที่ต้องต่อพ่วงกับคอมพิวเตอร์สำหรับการพิมพ์สติ๊กเกอร์บาร์โค้ด (Sticker Barcode) ป้ายชื่อหรือแท็กที่สามารถใช้ติดกับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสินค้าต่างๆ สินค้าอุปโภค สินค้าบริโภค เครื่องพิมพ์บาร์โค้ดที่ใช้ทั่วไปจะพิมพ์กับสติ๊กเกอร์บาร์โค้ด หรือป้ายสติ๊กเกอร์ (แท็ก) หรือ พิมพ์ที่กล่องก่อนที่ทำการจัดส่งสินค้า เพื่อเพิ่มความสะดวกในการจัดเก็บข้อมูลได้ง่ายขึ้น ส่วนใหญ่สำหรับเครื่องพิมพ์บาร์โค้ดในการพิมพ์ จะแบ่งเป็น 2 ระบบ มีทั้งระบบ Thermal Transfer และ ระบบ Direct Thermal ดังต่อไปนี้

ระบบ Thermal Transfer ซึ่งเป็นระบบที่ต้องใช้ริบบอนบาร์โค้ดในการพิมพ์ คนส่วนใหญ่จะไม่ทราบว่า ริบบอนคืออะไร ริบบอน คือ หมึกที่เอาไว้ใช้ในการพิมพ์บาร์โค้ดโดยจะผ่านระบบความร้อนของหัวพิมพ์ ซึ่งมีความละเอียดแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความละเอียดของเครื่องพิมพ์บาร์โค้ด ริบบอน มีความทนทานแตกต่างกันไป แบ่งเป็น 3 ประเภท Ribbon Wax ไม่ค่อยทนทานต่อแรงขูดขีด, Ribbon Wax Resin มีความคงทน ทนรอยขูดขีดได้, Ribbon Resin หรือ Super Resin ไม่สามารถขูดออกได้เลย มีความคงทนสูงมาก

ระบบ Direct Thermal ระบบใช้ความร้อนโดยไม่ต้องใช้ ริบบอนในการพิมพ์งานแต่ใช้ความร้อนของ หัวพิมพ์ พิมพ์ไปที่สติ๊กเกอร์โดยตรง แต่สติ๊กเกอร์ที่ต้องใช้นั้น จะต้องเป็นสติ๊กเกอร์เนื้อ Direct Thermal สติ๊กเกอร์ชนิดนี้จะมีสารเคมีเคลือบไว้ทำให้สามารถพิมพ์โดยไม่ต้องใช้ริบบอน

เครื่องพิมพ์บาร์โค้ด,โปรแกรมPOS,เครื่องสแกนบาร์โค้ด,เครื่องอ่านบาร์โค้ด,โปรแกรมพิมพ์บาร์โค้ด

เครื่องพิมพ์บาร์โค้ด

วันนี้ดิฉันจะมาคุยกันในเรื่องของระบบบาร์โค้ดต่างๆ เชื่อว่าหลายๆคนคงจะกำลังสนใจเกี่ยวกับระบบบาร์โค้ด โดยเฉพาะคนที่มีกิจการค้า ขายของ ขายสินค้า เป็นของตัวเอง อย่างเช่น ร้านขายปลีก ร้านขายส่ง ร้านขาย อุปกรณ์วัสดุ  เครื่องเขียน ร้านขายวัสดุก่อสร้าง หรือแม้แต่กระทั่งร้านประเภทขายอุปกรณ์เครื่องมือเสริมสวย รวมถึง เครื่องสำอางด้วย ขายมาก็หลายปีแล้ว แต่ยังใช้แต่วิธีการดั้งเดิมคือการใช้แรงงานคนในการใช้เครื่องคิดเลข หรือ แม้แต่การเขียน,การจด บิลด้วยมือ หลายๆคนจึงสนใจที่อยากจะเปลี่ยนแปลงระบบหน้าร้านมาเป็นการใช้บาร์โค้ด เพราะ นอกจากจะทำให้ช่วยคิดเงินได้ถูกต้องแม่นยำ สะดวกสบายรวดเร็วประหยัดเวลาแล้ว ยังช่วยให้การตรวจสอบเช็คสต๊อกง่ายขึ้นอีกด้วย จริงๆก็มีบริการรับพิมพ์บาร์โค้ด หรือว่าบริการที่รับจัดการระบบทุกอย่างเกี่ยวกับบาร์โค้ด หรือแม้แต่โปรแกรมที่ช่วยเหลือสนับสนุนก็ตาม แต่ว่าราคามันก็ค่อนข้างจะสูง ในที่นี้เราจะไม่ขอพูดถึงการใช้บริการรับพิมพ์บาร์โค้ดมาก แต่จะขอมุ่งเน้นไปที่การทำเองมากกว่า ก่อนอื่นต้องขอแนะนำก่อนว่าระบบบาร์โค้ดเหมาะกับกิจการประเภทใด? ระบบบาร์โค้ดเหมาะที่จะใช้กับร้านค้าที่มีสินค้าหลากหลายและมีจำนวนมาก เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีความรู้ด้านบัญชี หรือไม่อยากจ้างคน เหมาะสำหรับร้านค้าที่ต้องให้การบริการแบบสะดวกสบายรวดเร็วแก่ลูกค้า และสำหรับร้านค้าที่กังวลเกี่ยวกับรายรับ รายจ่าย เชื่อไหมคะ หลายๆร้านค้าที่ขายดีจนเจ๊ง เพราะเนื่องจากว่าไม่รู้ถึงจำนวนปริมาณสินค้าที่ขาย สักแต่ว่าขายอย่างเดียวไม่ได้ทำรายการบัญชี ถ้าใครมีเงินทุนก็แนะนำเลยค่ะจ้างวานบริการรับพิมพ์บาร์โค้ดหรือซื้อโปรแกรมเอาเลยจะง่ายกว่า แต่ถ้าหากว่าใครงบน้อย ก็สามารถทำเองได้เช่นกัน ถ้าหากความรู้ของคุณเป็นศูนย์เลยก็เริ่มจากง่ายๆ อย่างเช่น หาซื้อกระดาษสำหรับการพิมพ์บาร์โค้ดมาก่อน ส่วนใหญ่แล้วในซองกระดาษจะมีแผ่นโปรแกรมบาร์โค้ดสำหรับการลงใน PC มาให้ แล้วก็ทดลองพิมพ์ตามที่เค้าแนะนำในแผ่นเลยค่ะ แล้วก็ลองรันรหัสโค้ด ดูซักชุดนึง และที่สำคัญเลยก็คือคุณต้องซื้อเครื่องยิงบาร์โค้ด ตอนซื้ออย่าลืมที่จะจด Code ของบาร์โค้ดไปด้วยว่าคุณใช้ชุดไหน ลักษณะของรหัสเป็นอย่างไร นี่คือวิธีการง่ายๆที่ประหยัดที่สุด เมื่อคุณได้โปรแกรมพิมพ์บาร์โค้ดและตัวยิงบาร์โค้ดมาแล้ว หลังจากนั้นก็ลองฝึกดู จะเป็นเองค่ะ เมื่อทำเป็นแล้วก็ไม่ยากในการที่จะขยายไปทำโปรแกรมคำนวณ บัญชีอะไรต่างๆ วิธีการนี้คือวิธีที่ประหยัดที่สุดแล้ว เหมาะสำหรับคนที่ไม่ต้องการเสียเงินให้กับบริษัทที่รับพิมพ์บาร์โค้ด อันที่จริง แล้วคุณสามารถที่จะซื้อเพียงแค่เครื่องยิงบาร์โค้ดอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องไปพิมพ์บาร์โค้ดใหม่ เพราะบาร์โค้ดมักจะใช้ด้วยกันได้อยู่แล้ว เปรียบเทียบง่ายๆก็คือเครื่องยิงบาร์โค้ดก็เหมือนคีย์บอร์ด แทนที่จะเปลี่ยนจากการพิมพ์ก็เป็นการยิงเท่านั้นแหละค่ะ ส่วนใหญ่สินค้าที่รับมาขายจากบริษัทใหญ่ๆก็มักจะมีบาร์โค้ดติดมากับตัวสินค้าอยู่แล้ว ถ้าเกิดเป็นเช่นนี้ก็ง่ายมากๆเลยค่ะ เพราะเราก็จะลดขั้นตอน และลดค่าใช้จ่ายในการพิมพ์บาร์โค้ดไปได้ด้วย แต่สำหรับสินค้าที่รับมาจากบริษัทเล็กๆที่ไม่มีบาร์โค้ดติดอยู่ที่ตัวสินค้าก็สามารถลองใช้สติ๊กเกอร์ทำเองดูได้ ใช้เครื่องปริ้นเลเซอร์เพื่อความคมชัด ลองทำใส่กระดาษ A4 ดู ถ้านำไปยิงแล้วผ่านก็ถือว่าใช้ได้ หลังจากนั้น ก็สามารถพิมพ์ใส่กระดาษสติ๊กเกอร์แบบเอนกประสงค์ได้เลย หรือว่าจะเอาประหยัดก็เป็นกระดาษธรรมดาและใช้สก๊อตเทปแปะก็ได้แต่จะต้องย่อขนาดลงและอาจจะหลุดได้ แต่ก็จะป้องกันการลอกของหมึกพิมพ์ได้ ถ้าหากใช้เครื่องพิมพ์ด้วยเลเซอร์ควรใช้กระดาษแบบด้าน หรือถ้าจะให้ทนที่สุดก็ต้องใช้เครื่องพิมพ์บาร์โค้ด แต่อาจจะไม่คุ้มเพราะค่าใช้จ่ายก็จะสูงเพิ่ม เปลี่ยนเป็นใช้กระดาษสติ๊กเกอร์จะดีกว่า ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการและความพอใจของท่าน ถ้าถามว่าระหว่างใช้บริการบริษัทที่รับพิมพ์บาร์โค้ดหรือว่าทำเองดีกว่า ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความต้องการและทุนทรัพย์ของแต่ละท่าน ถ้าทำเองได้ก็สนับสนุนให้ทำเองดีกว่า เมื่อมีเวลาก็ควรซื้อหนังสือมาอ่านศึกษารายละเอียด ถ้าอยากได้ความสะดวกสบายก็แนะนำให้ใช้บริการของ{บริษัท|บ.}ที่รับพิมพ์บาร์โค้ด เพราะเนื่องจากจะได้บริการที่ครบมากกว่า มีหลากหลายชโปรแกรม แต่ข้อเสียก็คือว่าราคาที่แพง และอาจจะไม่ยืดหยุ่นต่อการใช้งาน เพราะว่ากิจการร้านขายต่างๆของท่านก็จะแตกต่างกับของคนอื่นๆ ถ้าร้านที่มีความพิเศษหรือไม่เหมือนใครก็อาจจะไม่ค่อยตอบโจทย์ได้ตรงเท่าไหร่ ในขณะเดียวกันอาจจะต้องรันฟังค์ชั่นบางอย่างที่ไม่จำเป็นทำให้เสียเวลาก็ได้ และบางโปรแกรมก็จะมีข้อจำกัด เงื่อนไขเรื่องรุ่นของ Windows อาจจะใช้ได้เฉพาะกับ Windows รุ่นนี้ แต่ใช้กับรุ่นที่เก่ากว่า หรือใหม่กว่าไม่ได้ ถ้าแบบนี้การไปซื้อหนังสือมาอ่านแล้วทำให้มันตอบโจทย์ของกิจการของท่านจะดีกว่าการใช้บริการรับพิมพ์บาร์โค้ด

หวังว่าทุกท่านจะได้รับความรู้ไปเยอะแล้วนะคะสำหรับการแนะนำ ทั้งนี้ที่สุดของการตัดสินใจที่ว่าจะเลือกทำเองหรือใช้บริการรับพิมพ์บาร์โค้ดก็ต้องอยู่ที่ดุลยพินิจของแต่ละท่าน แต่เชื่อเถอะค่ะว่าการลงทุนในระบบบาร์โค้ดไม่ว่าจะวิธีไหนย่อมคุ้มค่ากว่าการใช้ระบบเก่าๆล้าหลังแบบเดิมอย่างแน่นอน เราจะมาขอสรุปสาระให้เข้าใจง่ายๆกันเลยรวดเดียวนะคะ

เครื่องสแกนบาร์โค้ดแบบมือถือ

.

  1. การยิงบาร์โค้ด จำเป็นจะต้องใช้เครื่องสแกนบาร์โค้ด หรือเครื่องอ่านบาร์โค้ด หรือเครื่องยิงบาร์โค้ดนั่นเอง เรียกได้หลายแบบค่ะ เมื่อสแกนตรงบาร์โค้ดเสร็จเครื่องก็จะอ่านที่แท่งบาร์โค้ดแล้วแปลความหมายออกมาเป็นอักษรหรือตัวเลขหรือชุดข้อมูลเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ และจะเข้าไปอยู่ในโปรแกรมในเครื่อง
  1. เครื่องสแกนบาร์โค้ดที่ต่ออยู่กับคอมพิวเตอร์นั้นทำความเข้าใจง่ายๆเลยก็คือมันก็เหมือนกับคีย์บอร์ดนั่นเองเพียงแต่เราเปลี่ยนมาใช้วิธียิงแทนที่จะคีย์มันลงไป เรียกได้ว่าเสียงดังตึ๊ดเดียวก็คือเรียบร้อย ไม่ต้องมานั่งงมหาตัวอักษร โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลข เมื่อสินค้ามีจำนวนมากก็ย่อมมีบาร์โค้ดหรือรหัสโค้ดสินค้าที่ต่างกันไป จำนวนหลักก็มีมากขึ้น การผิดพลาดก็ย่อมเยอะขึ้นถ้าใช้วิธีการคีย์ลงบนคีย์บอร์ด แต่เมื่อใช้การแสกนบาร์โค้ดก็จะง่ายมากขึ้น และรวดเร็ว แม่นยำ อีกด้วย หมดกังวลเรื่องข้อผิดพลาดในการคีย์ข้อมูลผิดไปได้อีกเปราะนึง

.

  1. การพิมพ์บาร์โค้ดติดสินค้าต้องใช้โปรแกรมพิมพ์บาร์โค้ด หรืออาจจะใช้เครื่องปริ้นทั่วๆไปก็ได้ สำหรับโปรแกรมพิมพ์บาร์โค้ดนั้นก็หาโหลดฟรีได้ทั่วไปลองหาข้อมูลดูค่ะ หรือบางทีโปรแกรม POS บางตัวก็จะมีเมนูพิมพ์บาร์โค้ดในตัวอยู่แล้ว

.

  1. โปรแกรม POS หรือโปรแกรมขายหน้าร้าน ทั่วๆไปโดยพื้นฐานจะเขียนให้รองรับการใช้งานของเครื่องสแกนบาร์โค้ด เพียงแค่เรานำเครื่องสแกนบาร์โค้ดต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ก็สามารถใช้ได้เรียบร้อย แต่ว่าบาร์โค้ดนั้นมีหลายระบบและหลายรูปแบบก่อนที่จะหาซื้อโปรแกรมอย่าลืมดูด้วยว่าโปรแกรม POS รองรับบาร์โค้ดแบบไหนบ้าง และใช้กับเครื่องสแกนบาร์โค้ดแบบไหนได้บ้าง
โปรแกรมขายหน้าร้าน,โปรแกรม POS,ระบบ POS,เครื่องคิดเงิน,เครื่องคิดเงินร้านค้าปลีก,โปรแกรมตัดสต๊อก

ระบบ POS กับ เครื่องคิดเงิน(Cash Register) แตกต่างกันอย่างไร?

ระบบ POS คืออะไร ?

POS คือ ระบบขายหน้าร้าน ชื่อเต็มของ POS คือ Point of sale  ซึ่งหมายถึง  จุดขายหรือจุดชำระเงิน ซึ่งนำหลักการของเครื่องคิดเงิน (Cash Register) มาเขียนโปรแกรมพัฒนาบนคอมพิวเตอร์  แล้วเพิ่มเติมความสามารถต่างๆที่เครื่องเก็บเงินทำไม่ได้ เช่น สามารถตัดสต็อกได้ ดูความเคลื่อนไหวต่างๆของสินค้า หรือ ระบบสมาชิก ตลอดจนดูข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ท ซึ่งความสามารถเหล่านี้  เครื่องเก็บเงินไม่สามารถทำได้ ถึงแม้ว่าเครื่องเก็บเงินในปัจจุบัน ได้พัฒนารูปทรงให้เหมือนคอมพิวเตอร์ บางยี่ห้อทำเป็นหน้าจอระบบสัมผัสได้  แต่ข้างในยังเป็นเครื่องเก็บเงินอยู่ คือไม่มี Harddisk ถึงจะเปลี่ยนรูปทรงอย่างไร  ก็ไม่ใช่่เครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ดี

โปรแกรมขายหน้าร้าน,โปรแกรม POS,ระบบ POS,หน้าจอขายหน้าร้าน,จอ POS,โปรแกรมตัดสต๊อก,โปรแกรมขายร้านค้าปลีก

ระบบ POS ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ

1.) ส่วนของโปรแกรม (Software) มีหน้าที่เก็บข้อมูลการขาย และ ข้อมูลสต็อกเป็นหลัก โดยยจะเก็บข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับการขายทั้งหมด เช่น ข้อมูลของสมาชิก ยอดซื้อสะสม ของลูกค้าที่มาใช้บริการในแต่ละวัน ดังนั้นโปรแกรม POS ที่ดี ควรใช้โปรแกรมฐานข้อมูลขนาดใหญ่โดยเฉพาะ เช่น MySQL Server , SQL Server เป็นต้น

ประเภทของโปรแกรมเก็บเงินหน้าร้าน

แบบที่ 1 เป็นโปรแกรมเก็บเงินหน้าร้านโดยเฉพาะ ( POS หรือ Point of sale )

โปรแกรมประเภทนี้จะถูกออกแบบและพัฒนาโปรแกรม มาเพื่องานขายหน้าร้านโดยเฉพาะ การทำงานจะง่ายและไม่ซับซ้อน มีความหยืดหยุ่นสูงกว่า เน้นการทำงานที่รวดเร็วในการขาย วิธีสังเกตุของโปรแกรมประเภทนี้ หน้าตาโปรแกรมจะสบายตา ไม่เป็นตารางๆ ออกแบบหน้าตาโปรแกรมให้ใช้งานง่าย จะไม่มีคำว่า ลูกหนี้ เจ้าหนี้ หรือคำอื่นๆที่เป็นภาษาบัญชี จะมีไม่กี่บริษัทที่ทำโปรแกรม POS โดยเฉพาะ POS เหมาะสำหรับร้านค้าทั่วไป ที่เป็นเจ้าของคนเดียว หรือ เป็นนิติบุคคล ที่จ้างสำนักงานบัญชีภายนอก ทำบัญชี ส่งให้สรรพากรอีกที

แบบที่ 2 เป็นโปรแกรมบัญชี ที่มีส่วนของหน้าร้าน ( Accounting Software)

โปรแกรมประเภทนี้ จะใช้การหลักทำงานของโปรแกรมบัญชีทั้งหมดมาใช้กับงานขายหน้าร้าน ซึ่งโปรแกรมเก็บเงินส่วนใหญ่ในตลาดเป็นแบบนี้ ทำให้มีความยุ่งยากในการใช้งานมาก ไม่คล่องตัว มีข้อจำกัดเยอะ มีขั้นตอนในการใช้งานมาก วิธีสังเกตุของโปรแกรมประเภทนี้ ดูได้จากคำว่า ลูกหนี้ , เจ้าหนี้ , ใบเสนอราคา หรือ ระบบเช็คธนาคาร เป็นต้น เหมาะสำหรับร้านค้าที่เป็นรูปบริษัท และ ทำบัญชีส่งสรรพากรเอง ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับบุคลธรรมดา หรือ ร้านค้าขนาดเล็ก เพราะโปรแกรมถูกออกแบบมาเพื่อ ให้มีการทำงานของหลายๆแผนก โดยเฉพาะแผนกบัญชี ที่ต้องนำข้อมูลทั้งหมดนี้ ไปทำงบการเงินส่งสรรพากรอีกทีดังนั้นโครงสร้างของโปรแกรม จึงไม่เหมือนกัน วิธีการคิด และ วิธีออกแบบโปรแกรม  ก็ต่างกันมาก เพราะแต่ละโปรแกรมถูกพัฒนาขึ้นมา มีจุดประสงค์ไม่เหมือนกัน

สรุป

ถ้าเราเปิด ร้านค้าทั่วไป เป็นบุคคลธรรมดา แนะนำให้ใช้โปรแกรมเก็บเงินหน้าร้านโดยเฉพาะ (POS) ถ้าเปิดเป็นรูปบริษัท แต่จ้างสำนักงานบัญชีภายนอกทำงบส่งสรรพากร แนะนำให้ใช้โปรแกรม (POS) ถ้าเปิดเป็นรูปบริษัท และ ทำบัญชีส่งสรรพากรเอง แนะนำให้ใช้โปรแกรมบัญชี ที่มีส่วนของหน้าร้าน

 

เครื่องคิดเงิน(Cash Register)

เครื่องคิดเงิน เป็นเครื่องเก็บเงิน ตรงจุดขาย  มีหน้าที่บันทึกการขาย เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่ใช่คอมพิวเตอร์ ดังนั้นเครื่องเก็บเงินจะไม่มี Harddisk จึงเก็บข้อมูลได้ไม่มาก และไม่สามารถตัดสต็อกได้ ดูยอดขายได้อย่างเดียว ส่วนรายชื่อสินค้าบางรุ่นจะพิมพ์เป็นภาษาไทยไม่ได้  เพราะไม่มีคีย์บอร์ดในตัวเครื่อง  มีแต่ปุ่มกดตัวเลข ต้องพิมพ์ออกมาเป็นรหัสตัวเลขแทน ทางร้านต้องรู้ว่ารหัสตัวเลขนี้ คือสินค้าอะไร ทำให้ไม่สะดวกเวลาดูรายงาน จะไม่รู้ว่าขายอะไรไปบ้าง  และจะไม่มีรายงานการวิเคาระห์ข้อมูลต่างๆ เช่น สินค้าอะไรที่ขายดี หรือ สินค้าอะไรบ้างที่ไม่มีการขาย เครื่องเก็บเงินจะไม่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ได้

โปรแกรมขายหน้าร้าน,เลือกซื้อโปรแกรมหน้าแบบไหนดี,ระบบ POS,ระบบขายหน้าร้าน,โปรแกรมขาย POS,เลือกซื้อโปรแกรมขายหน้าร้าน

เลือกซื้อโปรแกรมขายหน้าร้านแบบไหนดี ?

เลือกซื้อโปรแกรมหน้าแบบไหนดี ?

1.) ควรเลือกซื้อโปรแกรมเก็บเงิน หรือ ระบบ POS แท้ๆ  ที่ไม่ใช่เอาหลักโปรแกรมบัญชีมาเขียน เพราะจะทำให้การทำงานยุ่งยากซับซ้อน สุดท้ายใช้งานไม่สะดวกอย่างที่คิดและต้องยกเลิกการใช้ไปในที่สุด เพราะผิดตั้งแต่ต้น ถ้าเราต้องการโปรแกรมขายสินค้า ก็ควรซื้อโปรแกรมขายสินค้าโดยเฉพาะ ไม่ใช่ซื้อโปรแกรมบัญชีมาทำงานขายหน้าร้าน

2.) ภาษาที่ใช้เขียนเป็นภาษาอะไร และที่สำคัญฐานข้อมูลที่ใช้เป็นของอะไร ถ้าเป็นฐานข้อมูลขนาดเล็ก เช่น ACCESS ที่ขายกันอยู่ทั่วไปในตลาด เมื่อใช้ไปสักระยะ เครื่องจะเริ่มช้าลงเรื่อยๆ เพราะไม่มีระบบบีบอัดข้อมูล ทำให้กินพื้นที่มาก และเมือไฟดับ ไฟล์ข้อมูลบางส่วนจะหายไป ทำให้เกิดปัญหามากเพราะข้อมูลการขายสำคัญที่สุด แนะนำให้ใช้ ฐานข้อมูลของ MY SQL Server ซึ่งเป็นไฟล์ขนาดใหญ่และเป็นตัวฟรี License

3.) บริหารหลังการขาย สามารถ Online ได้หรือไม่ เพราะจะช่วยให้ Support ได้เร็วกว่าการเดินทางไปที่ร้าน ทำให้แก้ปัญหาได้ทันที

4.) ควรเลือกซื้อกับผู้พัฒนาโปรแกรมโดยตรง ดีกว่าเราไปซื้อกับตัวแทนจำหน่าย เพราะบางครั้งตัวแทนจำหน่ายไม่สามารถแก้ปัญหาให้เราได้ เพราะเค้าไม่ได้เขียนโปรแกรมเอง  ทำให้ไม่สามารถแก้ไขหรือรู้ทั้งระบบได้  ทำให้การช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาทำได้ยาก และใช้เวลานาน

5.) ควรเลือกซื้อโปรแกรมเก็บเงิน ให้ตรงกับขนาดและประเภทธุรกิจด้วย เพราะโปรแกรมเก็บเงินมีหลายขนาด แต่ต่างกันไปตามลักษณะธุรกิจ แต่ละโปรแกรมออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการไม่เหมือนกัน บางทีเราเลือกซื้อโปรแกรมทีมีราคาแพง และโปรแกรมมีขนาดใหญ่กว่าธุรกิจเรามาก ทำให้การทำงานซับซ้อนยุ่งยากมีหลายแผนกหลายหน่วยงานที่ต้องทำในโปรแกรมเก็บเงิน ก็จะไม่เหมาะกับธุรกิจ SME ทั่วไป

ดังนั้นเราควรเลือกและวิเคราะห์ให้ดีก่อนตัดสินใจ เพราะสิ่งที่คัญที่สุดในการขายคือ ข้อมูลการขายทั้งหมด ถ้าเราเลือกฐานข้อมูลขนาดเล็กไม่ได้มาตราฐาน ก็จะเสี่ยงต่อการหายของข้อมูลสินค้า เราต้องมานั้นป้อนสินค้าใหม่ทั้งหมด ทำให้เสียเวลาและทำให้ธุรกิจหยุดชะงัก สร้างความเสียหายอย่างมาก

โปรแกรมขายหน้าร้าน

ทำไมทุกร้าน ต้องใช้โปรแกรมขายหน้าร้าน

ทำไมทุกร้าน ต้องใช้โปรแกรมขายหน้าร้าน

โปรแกรมขายหน้าร้าน คือ โปรแกรมที่ช่วยเกี่ยวกับงานขายโดยเฉพาะ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการรู้ยอดขาย,สต็อกคงเหลือรวมทั้งกำไรในแต่ละช่วงเวลาได้ ดังจะเห็นได้จากร้านค้าสมัยใหม่ จำเป็นต้องมีโปรแกรมขายหน้าร้านทั้งสิ้น เพราะเป็นสิ่งสำคัญในการบริหารร้านค้า ให้มีประสิทธิภาพในยุคปัจจุบัน

จากประเด็นข้างต้น ภายใต้การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นและรุนแรงมากขึ้น มีบริษัทที่จำหน่ายโปรแกรมขายหน้าร้านหลากหลายให้เลือก โดยบริษัทผู้พัฒนาโปรแกรมขายหน้าร้าน  ต่างทุ่มเทและพัฒนาให้โปรแกรมของตนมีความสามารถมากที่สุด เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า  ที่ต้องการหาซื้อโปรแกรมขายหน้าร้านนี้ ไปใช้ให้ได้มากที่สุด  และ ยังทุ่มงบโฆษณาทำการตลาดอย่างมาก เพื่อนำเสนอตัวผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเจาะกลุ่มผู้ประกอบการร้านมินิมาร์ทและร้านขายปลีกทั่วไป ที่มีความต้องการใช้โปรแกรมขายหน้าร้านให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้ทันกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป  ตามเทคโนโลยี่ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ในปัจจุบันร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมกำลังประสบปัญหาอย่างหนักในการแข่งขัน กับ ร้านค้าปลีก สมัยใหม่ ที่เปิดดำเนินการอย่างแพร่หลายในหลายพื้นที่  ผู้บริโภคมีพฤติกรรมการรอคอยการลดราคาสินค้าเพิ่มมากขึ้น และ นิยมการไปซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีกสมัยใหม่แทนการซื้อ สินค้าจากร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมเพราะสามารถซื้อสินค้าทุกอย่างที่ต้องการได้จากร้านค้าปลีกสมัยใหม่ รวมถึงราคา จำหน่ายของสินค้าที่ถูกกว่าร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม พฤติกรรมของผู้บริโภคดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อกำไรและเป็นการทำลายผู้ค้าปลีกแบบดั้งเดิมที่ดำเนินธุรกิจในตลาด

ธุรกิจประเภทค้าปลีกมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นทุกวัน ร้านค้าปลีกจึงต้องใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อให้ธุรกิจของตนอยู่รอด อย่างไรก็ตามการที่ธุรกิจการค้าปลีกจะประสบความสำเร็จได้นั้น ผู้ประกอบการควรจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิวัฒนาการของการค้าปลีก ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการค้าปลีก  รวมถึงการจัดทำผังบัญชี เพื่อเป็นแนวทางการตัดสินใจดำเนินกิจการค้าปลีกได้อย่างเหมาะสมและประสบความสำเร็จตามที่คาดหวัง

ธุรกิจค้าปลีกเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างมาก การเปิดเสรีทางการค้าและการเงินของประเทศไทยทำให้มีการลงทุนของต่างชาติมากขึ้น เนื่องจากบริษัทต่างชาติมีบุคลากรที่มีคุณภาพ มีเทคโนโลยีและความรู้ใหม่ ๆ รวมทั้งมีประสิทธิภาพในการบริหารงานและศักยภาพในการแข่งขันที่สูงกว่า  ส่งผลให้ผู้ประกอบการชาวไทยขนาดกลางและขนาดเล็กไม่สามารถแข่งขันได้

ในอดีตการจับจ่ายใช้สอยในการเลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ผู้บริโภคจะมุ่งตรงไปยังร้านค้าปลีกในรูปห้องแถว ซึ่งส่วนใหญ่มักจะอยู่ใกล้แหล่งชุมชนและที่พักอาศัย เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปจากการค้าแบบเดิมมาสู่ยุคไฮเทค พฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงไปตามมาตรฐานการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคนเมืองหรือคนในชนบทเริ่มดีขึ้น ผู้บริโภคมีความรู้และมีโอกาสรับรู้ข่าวสารข้อมูลได้มากขึ้น ผู้บริโภคเริ่มต้องการการบริการและสินค้าที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ต้องการความสะดวกในการซื้อสินค้าและบริการส่งผลให้ธุรกิจค้าปลีกเริ่มตั้งแต่ร้านโชวห่วยเก่า ๆ ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นร้านมินิมาร์ท ร้านคอนวีเนียนสโตร์หรือร้านสะดวกซื้อในรูปแบบต่าง ๆ ที่สามารถพบเห็นได้ในปัจจุบัน

จะเห็นได้ว่าร้านค้าปลีกต้องมีการปรับตัวให้ต่อสู้กับการแข่งขันกับร้านค้าสมัยใหม่อย่างมาก  เครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการต่อสู้กับร้านค้าปลีกสมัยใหม่ได้ คือ โปรแกรมขายหน้าร้าน  ดังจะเห็นได้ว่าทุกร้านค้าในปัจจุบันจำเป็นต้องใช้ เพราะเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ทำให้เรารู้ ความเคลื่อนไหวต่างๆภายในกิจการของเรา ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะไม่ทราบว่าขายอะไรไปบ้าง จะไม่สามารถดูสต็อกได้ทันที และที่สำคัญไม่ทราบว่ากิจการของเรา กำไรหรือขาดทุน เกิดการรั่วไหลของสินค้าและการทุจริตของแคชเชียร์เกิดขึ้น  โดยที่ผู้ประกอบการไม่สามารถเช็คได้

ร้านค้าส่วนใหญ่  เมื่อเปิดกิจการใหม่  จะมุ่งเน้นไปที่การตบแต่งร้านให้สวยงาม ทันสมัย โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่จะหมดไปกับการตบแต่งหมด โดยไม่ให้ความสำคัญของระบบเก็บเงินหน้าร้าน  ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดในร้าน  ทำให้เมื่อขายไประยะหนึ่ง จะเกิดปัญหาเรื่องของขาด และ ของหาย และ ปัญหาเรื่องการเงินจะตามมา เพราะร้านไม่มีข้อมูลในการบริหาร ไม่สามารถวางแผนต่างๆได้เช่น การวางแผนสต็อก การวางแผนการตลาดและวางแผนการเงิน  ทำให้ผู้ประกอบการใหม่  ส่วนใหญ่จะไปไม่รอดด้วยเหตุนี้

วิธีเลือกซื้อโปรแกรมขายหน้าร้าน

วิธีเลือกซื้อโปรแกรมขายหน้าร้าน

1.ศึกษาหาข้อมูล จากแหล่งต่างๆก่อน   ตัวอย่างเช่น

  • จากเพื่อนหรือคนรู้จัก
  • จากเว็ปไซด์ ต่างๆ
  • ค้นหาจาก Google.com

แนะนำให้หาข้อมูลเองจาก Google อย่าเชื่อคนอื่นทั้งหมด เพราะโปรแกรมขายหน้าร้านถูกออกแบบมาไม่เหมือนกัน อาจจะใช้ได้ดีกับบางร้าน แต่อาจจะไม่เหมาะกับร้านของเรา เป็นต้น ฉนั้นเราต้องศึกษาเองว่า โปรแกรมของเจ้าไหนเหมาะสมกับเรามากที่สุด

ประเภทของโปรแกรมเก็บเงินหน้าร้าน

แบบที่ 1  เป็นโปรแกรมเก็บเงินหน้าร้านโดยเฉพาะ ( POS หรือ Point of sale )

โปรแกรมประเภทนี้จะถูกออกแบบและพัฒนาโปรแกรม มาเพื่องานขายหน้าร้านโดยเฉพาะ การทำงานจะง่ายและไม่ซับซ้อน มีความหยืดหยุ่นสูงกว่า วิธีสังเกตุของโปรแกรมประเภทนี้ หน้าตาโปรแกรมจะสบายตา ไม่เป็นตารางๆ ออกแบบหน้าตาโปรแกรมให้ใช้งานง่าย จะไม่มีคำว่า ลูกหนี้ เจ้าหนี้ หรือคำอื่นๆที่เป็นภาษาบัญชี จะมีไม่กี่บริษัทที่ทำโปรแกรมเก็บเงินหน้าร้านโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับร้านค้าทั่วไป  ที่เป็นเจ้าของคนเดียว หรือ เป็นนิติบุคคล ที่จ้างสำนักงานบัญชีทำบัญชีส่งให้สรรพากรอีกที

แบบที่ 2 เป็นโปรแกรมบัญชี  ที่มีส่วนของหน้าร้าน ( Accounting Software)

โปรแกรมประเภทนี้ จะใช้การหลักทำงานของโปรแกรมบัญชีทั้งหมดมาใช้กับงานขายหน้าร้าน ซึ่งโปรแกรมเก็บเงินส่วนใหญ่ในตลาดเป็นแบบนี้ ทำให้มีความยุ่งยากในการใช้งานมาก ไม่คล่องตัว มีข้อจำกัดเยอะ มีขั้นตอนในการใช้งานมาก วิธีสังเกตุของโปรแกรมประเภทนี้ ดูได้จากคำว่า ลูกหนี้ , เจ้าหนี้ ,ใบเสนอราคา หรือ ระบบเช็คธนาคาร เป็นต้น เหมาะสำหรับร้านค้าที่เป็นรูปบริษัท และ ทำบัญชีส่งสรรพากรเอง ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับบุคลธรรมดา หรือร้านค้าขนาดเล็ก เพราะโปรแกรมถูกออกแบบมาเพื่อ ให้มีการทำงานของหลายๆแผนก โดยเฉพาะแผนกบัญชี ที่ต้องนำข้อมูลทั้งหมดนี้ ไปทำงบการเงินส่งสรรพากรอีกทีดังนั้นโครงสร้างของโปรแกรม จึงไม่เหมือนกัน วิธีการคิดและวิธีออกแบบโปรแกรมก็ต่างกันมาก เพราะแต่ละโปรแกรมถูกพัฒนาขึ้นมา มีจุดประสงค์ไม่เหมือนกัน

สรุปว่า  ถ้าเราเปิด ร้านค้าทั่วไป เป็นบุคคลธรรมดา แนะนำให้ใช้โปรแกรมเก็บเงินหน้าร้านโดยเฉพาะ ถ้าเปิดเป็นรูปบริษัทแต่จ้างสำนักงานบัญชีภายนอกทำงบส่งสรรพากร แนะนำให้ใช้โปรแกรมเก็บเงินหน้าร้านถ้าเปิดเป็นรูปบริษัท และ ทำบัญชีส่งสรรพากรเอง แนะนำให้ใช้โปรแกรมบัญชี  ที่มีส่วนของหน้าร้าน จึงจะเหมาะสมกว่า

2.เปรียบเทียบข้อมูล เลือกที่ถูกใจที่สุด

เมื่อเราเริ่มมีความรู้ด้านนี้พอสมควร สามารถแยกออกแล้วระหว่างโปรแกรมหน้าร้าน กับ โปรแกรมบัญชี ว่าต่างกันอย่างไรเราต้องรู้รูปแบบของร้านเราว่าเปิดเป็นร้านค้าประเภทใด และ ดูความต้องการที่แท้จริง ว่าเราต้องการโปรแกรมประเภทไหนกันแน่ เมื่อได้ข้อมูลจนเป็นที่พอใจแล้วทำการคัดเลือกโปรแกรมที่ถูกใจและเหมาะกับเรามากที่สุด

3.โทรสอบถามเจ้าของผลิตภัณฑ์

เมื่อเราคัดเลือกได้แล้ว เราควรโทรเข้าไปสอบถามเพิ่มเติมในส่วนที่เราต้องการรู้ ถามให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ ทุกโปรแกรมยินดีให้ข้อมูลเต็มที่อยู่แล้วครับ ดูเบอร์โทรตรง ติดต่อเรา หรือ Contact Us ก่อนโทรไปคุย ลองดูสักนิด ว่าโปรแกรมที่เราเลือกนั้นเป็นรูปบุคคลธรรมดา หรือ รูปบริษัทเพราะจะมีผลต่อการบริการหลังการขายในรูปบริษัทย่อมน่าเชื่อถือกว่าโปรแกรมเก็บเงินหน้าร้านมันไม่ใช้แค่ติดตั้งแล้วจบกันเหมือน เครื่องใช้ไฟฟ้า มันมีอะไรมากกว่านั้น ควรจะมีทีมสำหรับบริการโดยเฉพาะ  ปัญหาที่พบบ่อย ส่วนใหญ่เป็นปัญหา ไวรัส , คอมพิวเตอร์ , Network และ ปัญหาจาก Windows ซึ่งบางที่ก็ไม่เกี่ยวกับโปรแกรมขายหน้าร้าน แต่เจ้าหน้าที่ก็ควรให้คำแนะนำได้ ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร  หลายๆที่เมื่อเช็คอาการแล้วไม่เกี่ยวกับโปรแกรม  อาจถูกปฎิเสธการให้บริการได้

ดังนั้นก่อนตัดสินใจ  ควรโทรไปสอบถาม เช็คให้แน่ใจก่อนว่าเป็นบุคคลธรรมดาหรือ เป็นรูปบริษัท มีผลต่อการให้บริการภายหลังเพื่อความแน่ใจเราลองขอดูตัวอย่างการใช้งานของโปรแกรมมา ทดลองใช้หรือดูหน้าตาการทำงานต่างๆ  ซึ่งมีหลายวิธีในการทดลองใช้งานของโปรแกรม

  • ดาวน์โหลด จากอินเตอร์เน็ท ในเว็บไซด์ของโปรแกรมนั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีให้ดาวน์โหลดฟรี แต่อยากให้สังเกตุ เมื่อดาวน์โหลดมาแล้วส่วนใหญ่จะใช้งานไม่ได้จริง เพราะ เป็นแค่ไฟล์ธรรมดาไม่ใช้โปรแกรมฐานข้อมูล ทำให้เสียเวลาในการทำความเข้าใจและเสียเวลาในการป้อนข้อมูล และส่วนใหญ่จะใช้ฐานข้อมูลขนาดเล็ก เมื่อใช้ไปนานๆจะมีปัญหาเรื่องการเก็บข้อมูล และ ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ช้าลงอย่างมาก
  • สาธิตโปรแกรมผ่านอินเตอร์เน็ท โดยเจ้าของโปรแกรม จะให้เรารีโมท เข้าไปที่เครื่องโดยผ่านโปรแกรม Teamviwer ซึ่งสามารถโหลดได้ฟรีจาก Googel   หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะทำการอธิบายการทำงานต่างๆของโปรแกรมให้เราทราบ ผ่านทางโทรศัพท์ โดยจะเห็นหน้าจอเดียวกันกับเจ้าของโปรแกรมเลย ทำให้เข้าใจได้ง่ายและไม่เสียเวลาเรียนรู้
  • เรียกเจ้าหน้าที่เข้ามาสาธิตโปรแกรมให้เราดูที่ร้านเลย ซึ่งบางโปรแกรมจะมีบริการให้ฟรี บางโปรแกรมก็อาจเก็บค่าใช้จ่าย แบบนี้จะได้รายละเอียดครบกว่า เพราะสามารถสอบถามปัญหาต่างๆที่เราอยากรู้ได้เลยว่าโปรแกรมตรงกับความต้องการของเราหรือไม่

4.ขอใบเสนอราคา

เมื่อศึกษาและดูการทำงานของโปรแกรมจนแน่ใจแล้ว ก็ขอใบเสนอราคาจากแต่ละโปรแกรม เราต้องดูว่าโปรแกรมที่เสนอมารวมภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ ยังไม่รวมให้ดูข้อเสนอต่างๆ เช่น มีบริการสอนถึงที่ไหม สอนใช้เวลานานแค่ไหนโปรแกรมหลายที่บอกว่าใช้งานง่ายให้ดูตรงระยะเวลาการสอน ว่าสอนใช้เวลากี่ชั่วโมงหรือ กี่วัน ถ้าเป็นโปรแกรมที่ใช้งานง่ายจริง ก็ไม่หน้าเกิน 3 ชั่วโมง ก็จะเข้าใจโปรแกรมทั้งหมดแล้วที่สำคัญที่ควรดูเราควรดูว่ามีค่าบริการรายปีหรือไม่ถ้ามีคิดเท่าไรต่อปี  แล้วคิดย้อนหลังหรือเปล่าเช่น บางโปรแกรมคิดค่าบริการปีละ 2,000 บาท ปีที่ 2-4 ผ่านไปไม่มีอะไร แต่เข้าปีที่ 5 เกิดปัญหา เค้าจะคิดย้อนหลังของปีที่ 2 ถึงปีที่ 5 ด้วย รวมเป็น 8,000 บาท อันนี้ต้องระวัง เราต้องถามให้หมด หลายคนโดนแบบนี้ถึงกับเลิกใช้โปรแกรมไปเลยก็มี

5.เปรียบเทียบราคา

เมื่อได้ใบเสนอราคามาหมดแล้วทำการเปรียบเทียบราคา และ เลือกโปรแกรมที่ถูกใจ  และเหมาะสมกับร้านเรามากที่สุดอย่าดูเพียงแค่ราคาอย่างเดียวให้ดูบริการหลังการขายการรับประกันค่าใช้จ่ายต่างๆที่จะเกิดขึ้นหลังจากติดตั้งโปรแกรมด้วยและที่สำคัญต้องดูว่าเป็นบุคคลธรรมดา หรือ เป็นรูปบริษัท ถ้าเป็นโปรแกรมราคาถูก จะใช้ฐานข้อมูลจะขนาดเล็ก เก็บข้อมูลได้น้อยส่วนใหญ่จะเป็นในรูปของบุคคลธรรมดา โปรแกรมประเภทนี้จะมีปัญหาเรื่องบริการหลังการขาย และประสิทธิภาพของโปรแกรมยังไม่เสถียร ยังมีปัญหาในการใช้งานค่อนข้างมากเหมาะสำหรับร้านค้าขนาดย่อย หรือ ร้านค้าที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ลองซื้อมาใช้ เสียเวลาป้อนข้อมูลทุกอย่างแต่ถึงเวลาโปรแกรมไม่สามารถใช้งานได้จริง ต้องเสียเวลาเรียนรู้และป้อนข้อมูลและต้องเสียเงินสองรอบเพื่อหาซื้อโปรแกรมใหม่ แล้วก็ไม่รู้ว่าโปรแกรมที่ซื้อมาใหม่จะเหมือนเดิมหรือเปล่า ดังนั้นเราต้องศึกษาจากข้อมูลเบื้องต้นที่ให้ไว้ด้านบน

6.ตัดสินใจซื้อ

เมื่อไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้วว่าโปรแกรมเก็บเงินหน้าร้าน ที่เหมาะกับร้านของเรา เป็นของเจ้าไหนก็ตัดสินใจซื้อได้เลยแต่ก็ต้องดูการชำระเงินด้วยบางรายจะให้โอนก่อน 100% หรือ บางรายก็จะเก็บเงินค่ามัดจำบางส่วน  และ เก็บที่เหลือทั้งหมดเมื่อวันติดตั้ง

7.โทรนัดวันเวลาติดตั้ง

เมื่อตัดสินใจเลือกซื้อแล้ว ก็ถึงเวลาโทรนัดวันเวลาติดตั้ง เราควรพร้อมทั้งสถานที่ และ คนที่จะเรียนรู้

  • ความพร้อมด้านสถานที่ควรมีปลั๊กไฟให้เรียบร้อย มีโต๊ะทำงานหรือเคาเตอร์ที่สามารถเรียนรู้โปรแกรมได้อย่างสะดวก สถานที่ต้องเอื้อประโยชน์ในการเรียนรู้โปรแกรม บางที่สียังแห้งไฟยังไม่มา และปัญหาอื่นๆ ควรให้สถานที่พร้อมก่อนแล้วค่อยนัดติดตั้งโปรแกรม
  • ความพร้อมของคนเรียนคนที่เรียนต้องมีสมาธิในการเรียน เพราะเป็นสิ่งใหม่ที่เรายังไม่เคยใช้มาก่อน จำเป็นต้องเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่ อย่าเพิ่งเอาเวลาไปจัดสินค้า หรือ เอาเวลาไปขายของ เพราะเจ้าหน้าที่เค้าจะเข้าไปสอนถึงสถานที่เพียงครั้งเดียว ครั้งต่อไปจะสอนทางโทรศัพท์แทน ดังนั้นเราต้องให้ความสำคัญต้องการเรียนรู้โปรแกรมให้มาก เมื่อเราเข้าใจโปรแกรมแล้วปัญหาต่างๆจะหมดไป

สำหรับคนที่เพิ่งเปิดร้านใหม่

แนะนำให้ซื้อโปรแกรมเก็บเงิน ก่อนเปิดร้าน ล่วงหน้า 1-2 อาทิตย์ หรือ ก่อนที่สินค้าจะมาส่ง เพราะเมื่อสินค้ามาส่งเราก็จะยุ่งการจัดสินค้า ทำให้ไม่มีสมาธิในการเรียนรู้ เราควรซื้อโปรแกรมก่อน เพราะจะทำให้รู้ว่าเราควรจะเริ่มทำอะไรตรงไหน เราต้องคีย์ข้อมูลสินค้าต่างๆ พร้อมทั้งสต็อก เข้าไปทั้งหมดก่อนการขายจริง ข้อมูลถึงจะถูกต้อง สต็อกถึงจะตรงตั้งแต่แรกหลายคนคิดว่าซื้อโปรแกรมแล้ววันรุ่งขึ้นแล้วขายได้เลย มันก็อาจจะทำได้ ถ้าสินค้าเราไม่มาก และ คนป้อนข้อมูลพิมพ์ได้เร็ว ส่วนใหญ่จะทำไม่ทัน แล้วขายไปก่อน สต็อกก็จะไม่ถูกตั้งแต่เปิดร้าน แล้วก็มานั่งนับสต็อกกันใหม่ กว่าจะตรงจะใช้เวลานาน  ทำให้มันถูกต้องตั้งแต่ครั้งแรกจะดีกว่าบางรายคิดว่าซื้อโปรแกรมมาแล้วเจ้าหน้าที่จะป้อนข้อมูลให้หมด  เราไม่ต้องทำอะไรเลย  เป็นความคิดที่ผิดนะครับ เจ้าหน้าที่จะสอนการป้อนข้อมูลต่างๆให้เราเป็นคนป้อนข้อมูลเอง เพราะเราจะรู้จักสินค้าทั้งหมดดีที่สุด คนอื่นจะไม่รู้ดีเท่าเรา บางโปรแกรมรับป้อนข้อมูลให้ลูกค้าทั้งหมด พอถึงเวลาที่เราที่เราจะเพิ่มข้อมูลสินค้าหรือข้อมูลบางอย่าง เค้าจะคิดค่าใช้จ่ายเราตลอด จนกว่าเราจะเลิกใช้โปรแกรมนะครับ ดังนั้นแนะนำว่าเราควรศึกษาการใช้งานของโปรแกรมและป้อนข้อมูลเองทั้งหมดจะดีที่สุด

สำหรับคนที่เปิดร้านแล้ว

สามารถซื้อโปรแกรมเก็บเงินมาใช้ได้เลย โดยแบ่งกลุ่มออกเป็นหมวดหมู่ต่างๆไว้ล่วงหน้าก่อน  ส่วนสต็อกถ้ามีเวลา ก็นับสต็อกล่วงหน้าไว้ก่อนจะช่วยประหยัดเวลาได้เยอะ แล้วทำตามขั้นตอนต่างๆของโปรแกรมได้เลยบางโปรแกรมสามารถนำข้อมูลจากโปรแกรมเก่ามาใช้ได้ โดยนำข้อมูลที่เป็น Excel มาใส่ในโปรแกรมใหม่ได้เลย  ทำให้เราไม่ต้องคีย์ข้อมูลใหม่ทั้งหมด ที่เหลือก็ใส่แค่สต็อกและข้อมูลบางอย่างเท่านั้น ช่วยประหยัดเวลาไปได้เยอะ บางคนไม่อยากเปลี่ยนโปรแกรมทั้งๆที่ใช้มามีปัญหามากมาย เพราะไม่อยากคีย์ข้อมูลใหม่ ตอนนี้ลองมองหาโปรแกรมใหม่ได้แล้วนะครับ

8.ชำระเงิน

การชำระเงินก็สำคัญบางรายก็มีเก็บค่ามัดจำบางส่วน บางรายก็ชำระเต็มจำนวนในวันติดตั้ง ถ้าลูกค้าลูกในกรุงเทพและปริมณฑลไม่ค่อยมีปัญหาอะไรที่จะมีปัญหาคือลูกค้าที่อยู่ต่างจังหวัด ต้องดูและศึกษาให้แน่ใจก่อนตัดสินใจโอนเงินถ้าเป็นบุคคลธรรมดาต้องระมัดระวังมากหน่อย เพราะมีความเสี่ยงสูงกว่าซื้อกับบริษัท  มีโอกาสที่โอนไปแล้วจะไม่ได้ของนะครับ แนะนำว่าควรซื้อโปรแกรมกับบริษัท จะปลอดภัยกว่าเวลาโอนให้ดูชื่อบัญชี ว่าเป็นชื่อบุคลธรรมดา หรือ ชื่อบริษัท บางโปรแกรมเปิดเป็นรูปบริษัท แต่เวลาให้ลูกค้าโอนเงิน กลับเป็นชื่อบุคคลธรรมดา แบบนี้ก็ต้องระวังนะครับ

9.บริการหลังการขาย

เป็นหัวใจสำคัญที่สุด ที่เราจะต้องพิจารณามากกว่าราคา บางโปรแกรมราคาถูก แต่บริการหลังการขายไม่ดี แบบนี้ย่อมซื้อโปรแกรมแพงหน่อยจะดีกว่าเพราะ โปรแกรมเก็บเงินหน้าร้านไม่เหมือนกับสินค้าอื่นๆ ที่ขายแล้วจบกันจำเป็นต้องมีบริการหลังการขายอีกมากและเป็นอะไรที่ต้องการความรวดเร็วในการแก้ปัญหา

ปัญหาอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น  

  • ปัญหาจากตัวโปรแกรมเอง
  • ปัญหาของเครื่องคอมพิวเตอร์
  • ปัญหาจากWindows
  • ปัญหาจาก ไวรัส
  • ปัญหาจากระบบ Network
  • ปัญหาจากผู้ใช้งาน

วิธีเลือกซื้อโปรแกรมขายหน้าร้าน

ซึ่งหลายๆปัญหาไม่ได้เกิดจากตัวโปรแกรม ยิ่งถ้าเราซื้อโปรแกรมกับคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์แยกกัน ผู้จำหน่ายโปรแกรมบางรายอาจจะไม่ Support เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนเอง เช่น ลูกค้าซื้อโปรแกรมจากที่หนึ่ง แล้วไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่หามาเอง แล้ววันหนึ่งเกิด windows เสีย หรือ Hard Desk พังทางโปรแกรมบางรายอาจจะไม่บริการให้ เพราะไม่เกี่ยวกับตนเองบางที่ก็ให้ลูกค้าซื้อโปรแกรมใหม่อีกครั้งเพราะหมายเลขเครื่องที่ผูกกับโปรแกรมได้เปลี่ยนไป ปัญหานี้เกิดบ่อย ดังนั้นแนะนำว่าควรซื้อจากที่เดียวกันจะดีกว่าครับ

บางโปรแกรมเวลาติดปัญหาอะไร ให้โทรเข้าเบอร์ปกติที่สำนักงาน ซึ่งเป็นระบบตอบรับอัตโนมัติให้เราตอบข้อมูลต่างๆก่อนจะให้บริการ ซึ่งกว่าจะได้คุยกับเจ้าหน้าที่ ใช้เวลานานหรือบางทีก็ถูกตัดสายทิ้งก็มีบ่อย จะเป็นลักษณะเดียวกันกับที่เราโทรไปธนาคารต่างๆ ถ้าแบบนี้จะให้บริการไม่ทันเมื่อเกิดปัญหา บางที่ดีหน่อยที่มีเบอร์ Hot Line สายด่วนถึงเบอร์มือถือของเจ้าหน้าที่ Support โดยตรง ทำให้แก้ปัญหาได้ทันที หรือบางที่ก็สามารถ รีโมท ผ่านเน็ท เข้ามาแก้ไขที่เครื่องของเราได้เลย แบบนี้จะแก้ปัญหาได้รวดเร็วและตรงจุดมากกว่าครับ เพราะเห็นน่าจอเดียวกัน

ข้อมูลนี้เป็นการแชร์ประสบการณ์ วิธีเลือกซื้อโปรแกรมเก็บเงินหน้าร้าน จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ถือว่ามีประโยชน์สำหรับท่านที่กำลังมองหาโปรแกรมเหล่านี้อยู่  ซึ่งข้อมูลนี้อาจเป็นประโยชน์สำหรับบางท่าน และอาจจะเป็นที่ไม่พอใจในบางท่านเช่นกัน ผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

โปรแกรมขายหน้าร้าน

สวัสดีค่ะวันนี้มีประสบการณ์ที่จะมาแบ่งปัน เรียกว่าแนะนำให้ผู้ที่สนใจในโปรแกรมขายหน้าร้านเข้าใจกันดีกว่าค่ะ หลายๆคนที่มีธุรกิจส่วนตัวคงกำลังใช้งานโปรแกรมตัวนี้กันอยู่ หรือไม่ก็คงกำลังสนใจกันอยู่ ซึ่งโปรแกรมก็มีมากมายหลายรูปแบบมีทั้งโหลดฟรี และจ่ายเงินซื้อ โปรแกรม ส่วนตัวดิฉันได้มีประสบการณ์ในการจ่ายเงินซื้อโปรแกรมจึงอยากจะนำเอาประสบการณ์ตรงนี้มาแบ่งปันค่ะ ก่อนอื่นถ้าหากใครที่จะคิดซื้อโปรแกรมขายหน้าร้านควรที่จะมีความรู้เบื้องต้นก่อน คือความคิดเห็น และข้อเสนอแนะ โดยส่วนตัวจากที่ดิฉันได้ตัดสินใจตกลงซื้อโปรแกรมมาใช้งานจากบริษัทแห่งหนึ่งคะ

  1. เช็คข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทให้ดี ดูว่าทีมงานของเขามีกี่คน โดยเฉพาะฝ่าย support หรือผู้ดูแลลูกค้า หลังการขายนั่นเอง จำเป็นมากๆนะคะ ต้องเลือกซื้อบริษัทที่มีฝ่าย support เท่านั้น ไม่งั้น ถ้าหากโปรแกรมมีปัญหาหรือเรามีข้อสงสัยที่ต้องการจะซักถามเราก็จะไม่สามารถติดต่อ ขอความช่วยเหลือจากใครได้ เพราะว่าทีม Sale หรือโปรแกรมเมอร์เขาก็ต้องมีหน้าที่ของเขาซึ่งอาจจะไม่สามารถดูแลลูกค้าหลังการซื้อได้ เพราะฉะนั้นทีม support สำคัญมากค่ะ ถ้ามีโอกาสขอเข้าไปดูที่องค์กร หรือบริษัทนั้นเลย เพื่อดูการทำงานของทีมแต่ละทีม ซึ่งข้อนี้เรามีสิทธิ์นะคะ บริษัทส่วนใหญ่ ก็มักจะให้โอกาสลูกค้าในการเข้า ดูการทำงานอยู่แล้ว นอกจากนั้นดูทีม support แล้วว่ามีประมาณกี่คน ทำงานกันอย่างไร ระบบการทำงานเป็นอย่างไร นอกจากนี้ ยังควรเช็คเวลาการทำงานให้ดี ว่าเขาเปิดกี่โมง ปิดกี่โมง หยุดวันไหน ถ้าหยุดแล้วโปรแกรมมีปัญหาเราสามารถที่จะติดต่อใครได้บ้าง เพราะโปรแกรมพวกนี้ถ้ามีปัญหากะทันหันขึ้นมา เราจำเป็นต้องใช้โปรแกรมขายหน้าร้านตลอดเวลาก็จะเป็นปัญหาได้ อย่าลืมดูบริการหลังการขายอื่นๆค่ะ อย่างเช่นไม่พอใจยินดีคืนเงิน การให้ทดลองใช้โปรแกรมก่อน พวกนี้ก็เป็นข้อเสนอที่ลูกค้าอย่างเราควรให้ความสนใจค่ะ เพราะเชื่อว่าหลายๆคนคงมีปัญหากับการที่ซื้อโปรแกรมมาแล้วพอเอามาใช้จริงไม่ได้เป็นอย่างที่คุยกับsale ไว้เลย ดังนั้น ควรรักษาผลประโยชน์ของเราด้วย
  1. ดูว่าโปรแกรมขายหน้าร้านตัวนี้ทำงาน ในลักษณะอย่างไร การจัดเรียงข้อมูลเป็นแบบไหน ขอคำแนะนำให้เป็นแบบSql ค่ะ เพราะว่าฐานข้อมูลจากใหญ่จะสามารถบันทึกรายละเอียดของสินค้าได้เยอะ อย่าลืมที่จะดูด้วยว่าการตัดสต๊อกใช้ระบบแบบ ไหน การตัดสต๊อกจะมีหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น FIFO (First In First Out) หรือว่าเข้าก่อนออกก่อน หมายถึงสินค้าใดที่เข้ามาในคลังสินค้าก่อนก็จะหมุนเวียนออกไปก่อน , FEFO (First Expire date First Out) หมายถึง สินค้าใดที่จะหมดอายุก่อน ก็จะถูกหมุนเวียนออกไปจากคลังสินค้าก่อน และ LIFO (Last In Last Out) หมายถึง สินค้าที่เข้ามาในคลังที่หลังจะถูกนำหมุนเวียนออกไปจากคลังสินค้าก่อน LIFO ใช้เพื่อแสดงต้นทุนสินค้าที่มีราคาใกล้กับปัจจุบันมากที่สุด ส่วนใหญ่สินค้าที่ใช้หลักการนี้จึงมักเป็นสินค้าประเภท วัตถุดิบในการผลิต สินค้าที่มีอายุจำกัด หรือสารเคมี เป็นต้น

โปรแกรมขายหน้าร้าน NS-Easystore-Professional

  1. โปรแกรมทุกชนิดจะมีข้อผิดพลาดได้ สามารถผิดเพี้ยนได้ ไม่มีโปรแกรมไหนที่ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีโปรแกรมไหนที่ไม่มีการผิดพลาดเลย อีกอย่างมันเป็นโปรแกรมสำเร็จรูปจึงไม่สามารถใช้งานได้อย่างยืดหยุ่นตรงกับความต้องการของคุณไปเสียทุกอย่างดังนั้นควรทำใจไว้หน่อย แต่ปัญหานี้ก็จะหมดไปถ้าโปรแกรมที่คุณซื้อมีทีมซัพพอร์ตที่ดีเพราะเนื่องจากคุณก็สามารถที่จะขอความช่วยเหลือจากทีมซัพพอร์ตได้ มีอีกวิธีคือจ้างเขียนโปรแกรมขายหน้าร้านในแบบของคุณเองก็จะได้โปรแกรมที่ตรงใจมากกว่าแบบสำเร็จรูป และคุณก็จะสามารถออกแบบให้ตรงกับการใช้งานของมันได้มากที่สุด แต่แน่นอนว่าราคาของมันก็จะสูงกว่าโปรแกรมสำเร็จรูปอย่างแน่นอน แต่ถ้าคุณมีทุนมากพอนี่ก็คือทางเลือกที่ดีเพื่อป้องกันปัญหาโปรแกรมไม่ตรงกับที่ต้องการใช้งานที่หลัง จะได้ไม่ต้องเสียเงินฟรีลองผิดลองถูก
  1. คุณรู้จักร้านค้าหรือว่ากิจการของคุณดีพอหรือยัง ถ้าหากว่ายังต้องไปศึกษากิจการของคุณมาใหม่ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกซื้อโปรแกรมขายหน้าร้านสักโปรแกรม เพราะในการเลือกโปรแกรมคุณต้องดูจากระบบร้านของคุณเป็นหลักว่าร้านของคุณเป็นแบบไหน มีขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ รายการสินค้าของคุณหลากหลายไหม รายการขายของคุณมีลักษณะเป็นอย่างไร จ่ายสดอย่างเดียวหรือเปล่า และปริมาณบิลต่อวันมีประมาณกี่บิล ถ้าคุณยังไม่แน่ใจคุณสามารถลองปรึกษาขอคำแนะนำกับบริษัทที่ขายโปรแกรมขายหน้าร้านที่คุณสนใจอยู่ก็ได้ว่าร้านค้าของคุณเหมาะกับโปรแกรมแบบไหน ซึ่งโปรแกรมส่วนใหญ่ก็มักจะมี 3 ระดับ เช่นกัน ก็คือ เล็ก กลาง ใหญ่ คุณต้องเลือกให้เหมาะสม เพื่อที่จะรองรับกับระบบการทำงานในร้านของคุณได้และไม่วุ่นวายเกินไป ข้อแนะนำก็คือสำหรับร้านค้าที่ขายปลีก รายการสินค้าก็อาจจะไม่ได้เยอะมาก ดังนั้น โปรแกรมก็ควรเป็นโปรแกรมขนาดกลางก็ พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่เพราะไม่เช่นนั้นการใช้งานจะซับซ้อนมากขึ้น และจะเหมาะสมกับเครื่องแบบ stand alone ส่วนราคาก็จะถูกลงมาเพราะไม่ซับซ้อนเท่าไหร่ ถ้าเกิดว่าคุณมีแพลนที่จะขยายกิจการของคุณแต่อาจจะไม่ใช่ในเร็วนี้ ก็ไม่ขอแนะนำให้ซื้อแบบเผื่ออนาคต เพราะว่าโปรแกรมนี้อาจจะไม่เหมาะกับกิจการของคุณในตอนที่มันขยายแล้วก็ได้ อย่าลืมข้อสำคัญอีกอย่างด้วยว่าถ้าเมื่อไหร่ที่โปรแกรมมีปัญหา คุณไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ คนที่สามารถช่วยเหลือคุณได้คือทีม support และผู้ที่เขียนโปรแกรมนี้เท่านั้น เพราะบางคนเลือกโปรแกรมที่ไม่เหมาะสมกับกิจการของตัวเอง เมื่อได้ฟังค์ชั่นมาน้อยหรือมากเกินความจำเป็นก็พาลโทษว่าโปรแกรมนี้ไม่ดี สำหรับร้านค้าขายส่ง ก็อาจจะใช้โปรแกรมแบบใหญ่ แต่ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนมากเพราะเราไม่ได้ทำเป็นโรงงานใหญ่ ราคาก็ควรเลือกแต่พอดีค่ะ ส่วนตัวดิฉันตอนนี้มีความต้องการที่จะเปลี่ยนเจ้าใหม่ เพราะเนื่องจากซื้อมาแล้วราคาก็ค่อนข้างแพง ตั้งแต่ใช้มามีปัญหามาตลอด และทีมซัพพอร์ตก็ไม่ค่อยให้ความช่วยเหลือค่ะ แถมไม่พอใจก็คืนเงินไม่ได้ด้วยคิดว่าการซื้อในครั้งหน้าต้องศึกษาให้ดีกว่านี้ ก็หวังว่าคำแนะนำของดิฉันจะมีประโยชน์ต่อคนที่กำลังสนใจโปรแกรมขายหน้าร้านกันนะคะ